เมื่อวันที่ 25 เมษายน สภาเภสัชกรรม ในฐานะตัว บาคาร่าออนไลน์ แทนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในประเทศไทย ออกจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องกลไกทางวิชาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน รวมถึงรัฐบาล ก่อนแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็น ภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership)
สภาเภสัชกรรมเรียกร้องกลไกทางวิชาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการที่ไทยจะยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP
ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ในการประชุมครม. วันอังคารที่ 28 เม.ย. นี้
ในการยื่นขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP นั้น ไม่ควรเสนอ ให้หน่วยงานปรับแก้กฎระเบียบให้สอดคล้องกับความตกลง CPTPP ทั้ง ๆ ที่การยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็นเพียงขั้นตอนเริ่มกระบวนการเท่านั้น ควรใช้เงื่อนไขที่ต้องใช้เวลาการปรับแก้กฎระเบียบเพื่อต่อรอง แต่ควรเสนอให้หน่วยงานเสนอเงื่อนไขต่างๆ เพื่อใช้ในการเจรจาต่อรองกับประเทศภาคีต่างๆ ให้ไทยได้ผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุด
สภาเภสัชกรรมได้ศึกษาติดตามการเจรจาและเนื้อหาของข้อตกลง CPTPP มาโดยตลอด จนถึงฉบับล่าสุดที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกแล้วนั้น แม้ว่าหลายประเด็นในเรื่องสิทธิบัตรที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยาจะถูกถอดออกไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีเนื้อหาอีกหลายส่วนที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ และส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุขในด้านอื่นอีก เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา บทที่ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนที่ให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการนอกประเทศได้ และกรณีสินค้าเหล้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ ที่ลดภาษีนำเข้าลดลงจนเหลือ 0% และการเข้าร่วมความตกลง UPOV 1991 เป็นต้น
ในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศ ประเทศต่าง ๆ มีความระมัดระวัง มีกลไกการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และกลไกทางวิชาการ โดยให้หน่วยงานทางวิชาการอิสระและมีความน่าเชื่อถือ ทำการศึกษาอย่างรอบด้านถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ และทำรายงานเสนอต่อรัฐสภาและต่อสาธารณะ เพื่อช่วยให้การเจรจาความตกลงระหว่างประเทศมีความรอบคอบและส่งผลดีโดยรวมต่อประเทศ เช่น รายงานวิเคราะห์เพื่อผลประโยชน์ชาติ (National Interest Analysis, NIA) ของรัฐบาลนิวซีแลนด์ ที่เผยแพร่สู่สาธารณะและเสนอต่อรัฐสภา เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ เป็นต้น
ประเทศไทยเคยมีกลไกที่สำคัญบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ซึ่งเป็นกลไกที่ดีก่อให้เกิดความโปร่งใส รอบคอบ ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะรัฐสภาที่เป็นผู้แทนปวงชาชาวไทย ทั้งก่อนการเจรจา ระหว่างการเจรจา และหลังการเจรจา แต่ไม่มีความแน่ชัดในการกำหนดให้มีกลไกทางวิชาการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้ ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ เสนอต่อสาธารณะและรัฐสภา
สภาเภสัชกรรมขอเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ใช้กลไกเช่นที่เคยบัญญัติไว้ในในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ในการเริ่มเจรจาขอเข้าร่วม CPTPP เพื่อก่อให้เกิดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และสร้างกลไกทางวิชาการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้ โดยต้องทำรายงานการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ เสนอต่อสาธารณะและรัฐสภาก่อนการทำความตกลงระหว่างประเทศ
จำกัดเวลารถขนส่งสินค้า คุมเข้มโควิด-19 แพร่ระบาด
ข่าวและภาพกิจกรรมกระทรวงคมนาคมรายงานการ จำกัด การขนส่งสินค้าในช่วงสงคราม – 19 ระบุว่ารถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปและรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปและห้ามสูบบุหรี่ 22.00-05.00 น. เงินบำนาญเจ้าฟ้าชายในเขตกรุงเทพมหานคร
มาตรการมาตรการดังกล่าวยังไม่รวมการขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน (อาหารยาเครื่องมือแพทย์ดั้งเดิม) เบื้อต้นมาตรการดังกล่าวจะใช้บังคับถึง 30 เมษายน 2563
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้รับการประกาศให้เป็นเจ้าพนักงานครองราชอาณาจักรทั่วโลกว่าด้วยการป้องกันรถ 4 ล้อ 6 ล้อและ 10 ล้อขึ้นไปเดินในเขตกรุงเทพมหานคร โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ความว่า
ด้วยมีสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากมีการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 และได้มีการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 10 เมษายน 2563 กำหนดมาตรการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว โดยมีข้อบังคับสรุปได้ดังนี้
ส่วนแรงงานไทยนอกระบบจากเกาหลีใต้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบทั้งหมด 241 คน เป็นชาย 104 คน หญิง 137 คน (มาจากเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ 8 คน) มีกลุ่มดูแลพิเศษ 29 คน เป็นหญิงตั้งครรภ์ 6 คน เด็กเล็ก 5 คน มีโรคประจำตัว 18 คน ผลการคัดกรองไม่พบผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง ทุกคนไม่มีไข้ บาคาร่าออนไลน์